10 เทคนิคบรอดแคสต์ Facebook Messenger อย่างมือโปร ปิดการขายง่ายขึ้น

เทคนิคบรอดแคสต์ Facebook Messenger

การบรอดแคสต์ข้อความผ่าน Facebook Messenger เป็นอีกช่องทางการตลาดที่ช่วยให้ธุรกิจออนไลน์สามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างตรงจุด สร้างการมีส่วนร่วม และนำไปสู่การปิดการขายที่มากขึ้น

แต่การส่งบรอดแคสต์เฉยๆ อาจไม่เพียงพอที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีเท่าที่ควร การรู้จักเทคนิคขั้นสูงที่มือโปรมักใช้ จะช่วยให้การบรอดแคสต์บน Messenger มีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายทางการตลาดได้ดียิ่งขึ้น

วันนี้ เราจะมาแชร์ 10 เทคนิคบรอดแคสต์ Facebook Messenger อย่างมือโปร พร้อมตัวอย่างที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง เพื่อเพิ่มอัตราเปิดอ่าน สร้างความผูกพัน และเพิ่มยอดขายในระยะยาว

1. ใช้ CTA Button ชวนให้ผู้รับสนใจและคลิก

การใส่ปุ่ม Call-to-Action หรือ CTA ในข้อความบรอดแคสต์ จะช่วยดึงความสนใจ และชวนให้ผู้รับอยากคลิกเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น ปุ่ม "รับโค้ดส่วนลดเลย", "สั่งซื้อที่นี่", "อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม" ฯลฯ

การมี CTA ที่ชัดเจน เฉพาะเจาะจง บอกประโยชน์ หรือสิ่งที่จะได้รับ จะทำให้ผู้อ่านรู้ว่าต้องทำอะไรต่อ และมีแรงจูงใจที่จะคลิกมากขึ้น นำไปสู่การเข้าชมเว็บ หรือแชทเพื่อซื้อของในที่สุด

2. เล่าสตอรี่ ยกตัวอย่างเคสลูกค้าจริง

อีกเทคนิคหนึ่งในการเขียนบรอดแคสต์ที่น่าสนใจ คือการหยิบยกเคสตัวอย่างหรือ Success Story ของลูกค้าที่ใช้สินค้าของเราแล้วประสบความสำเร็จ มาเล่าให้ฟัง

เช่น "คุณแอนนำครีมไปทา หลังจากนั้นสิวหาย ผิวใสขึ้นมาก พร้อมภาพ Before/After" หรือ "ร้านลุงใช้บริการเราแล้วยอดขายเพิ่มขึ้น 30% ภายใน 2 เดือน ลุงแฮปปี้มาก"

การมีโซเชียลพรูฟจากผู้ใช้จริง จะสร้างความน่าเชื่อถือ และกระตุ้นให้ผู้อ่านเห็นภาพและอยากได้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้การขายง่ายขึ้น

3. ใช้ Emoji และ Sticker เพิ่มสีสัน

Messenger เป็นช่องทางที่เป็นกันเองและใกล้ชิดกว่าอีเมล ดังนั้นเราสามารถใช้ภาษาและองค์ประกอบที่มีสีสันมากขึ้น เช่น การใส่ Emoji หรือ Sticker ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

ไม่ว่าจะเป็น ใส่หน้ายิ้ม 😊 ตอนทักทายเปิดเรื่อง, ใส่ไฟ 🔥 เวลาพูดเรื่องเร่งด่วน, ใส่ส่วนลด 💸 หรือลูกศรชี้👉 เวลาอยากให้คลิกลิงก์ เป็นต้น

การใช้สัญลักษณ์ประกอบจะช่วยให้ข้อความดูโดดเด่น อ่านเพลิน และสื่อถึงอารมณ์ของแบรนด์ได้ดี แต่ก็ต้องใช้อย่างพอดีไม่มากจนเกินไปจนรกรุงรังด้วยเช่นกัน

4. ใช้คำถามชวนคิดและชวนตอบ

คนส่วนใหญ่ชอบตอบคำถาม โดยเฉพาะคำถามที่ตรงกับความสนใจ หรือปัญหาของตัวเอง ดังนั้นการใช้คำถามในการเปิดประเด็น หรือสอดแทรกระหว่างข้อความ จึงเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ช่วยดึงความสนใจ และชวนให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมกับบทสนทนามากขึ้น

ตัวอย่างคำถามเช่น "สิวเป็นปัญหากวนใจของใครบ้าง", "อยากเปิดร้านออนไลน์แต่กลัวขายไม่ออกใช่ไหม", "ถ้ามีบริการส่งด่วนใน 1 ชม. คุณจะสนใจใช้มั้ย" ฯลฯ

การถามแล้วให้ผู้อ่านตอบกลับมาบ้าง จะช่วยสร้าง Engagement ได้ดีกว่าการพูดคนเดียว และยังเป็นการเก็บข้อมูลความต้องการลูกค้าในเบื้องต้นได้ด้วย

5. แบ่งเนื้อหาเป็นย่อหน้าสั้นๆ เข้าใจง่าย

หลายคนมักจะส่งข้อความบรอดแคสต์ที่ยาวเกินไป จนลูกค้าไม่อยากอ่านต่อ ทางที่ดีคือเราควรย่อเนื้อหาให้กระชับ เข้าใจง่าย และอ่านจบได้ในเวลาไม่กี่นาที

วิธีหนึ่งคือการแบ่งเนื้อความเป็นย่อหน้าสั้นๆ ใส่ line break เพื่อให้อ่านสบายตา ไม่รู้สึกเหมือนกำลังอ่านพรรณนาความยืดยาว

การเว้นวรรคบ่อยๆ จะทำให้อ่านง่าย เห็นใจความสำคัญได้ชัดเจน และไม่เพลียเกินไป การทดสอบอ่านเนื้อหาของตัวเองดูก่อนส่งทุกครั้ง จะช่วยให้เราปรับจูนข้อความให้ลื่นไหล กระชับ และอ่านสบายมากขึ้น

6. A/B Test หัวข้อและเนื้อหาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

เราอาจคิดว่าหัวข้อหรือเนื้อหาที่เขียนมานั้นดีแล้ว แต่ในความเป็นจริง กว่าครึ่งมักจะไม่ได้ผลเท่าที่คิด วิธีเดียวที่จะรู้ได้คือต้องลองทำ A/B test เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์

อาจลองเปลี่ยนหัวเรื่องใหม่ 2-3 แบบ แล้วดูว่าแบบไหนมีคนเปิดอ่านมากกว่ากัน หรือลองปรับเปลี่ยนข้อความ CTA ดูว่าแบบไหนมีคนคลิกมากกว่า

หากเทียบตัวเลขผู้เปิดอ่าน, คลิก, หรือเข้าชมเว็บ ระหว่างข้อความต้นฉบับและฉบับที่ปรับแล้ว เราจะรู้ได้ว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ และสามารถใช้ตัวที่มีประสิทธิภาพดีกว่าไปเรื่อยๆ ในระยะยาว

7. แนบลิงก์ช่องทางการขายที่เกี่ยวข้อง

อย่าลืมใส่ลิงก์ไปยังช่องทางการขายต่างๆ ในเนื้อหาบรอดแคสต์ด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหน้าสินค้าบนเว็บไซต์, แคตตาล็อกใน Messenger, หรือแม้กระทั่ง Line OA หรือเบอร์โทร หากขายผ่านหลายช่องทาง

เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าลูกค้าแต่ละคนจะสะดวกซื้อผ่านช่องทางไหน การแนบลิงก์ทางเลือกต่างๆ จะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึง และเพิ่มยอดขายในภาพรวมได้มากขึ้น แถมยังวัดผลได้ด้วยว่าลิงก์ไหนคนคลิกเข้ามากที่สุด

8. ตั้งเวลาส่งอัตโนมัติให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

ช่วงเวลาในการส่งบรอดแคสต์ก็มีผลต่อการเปิดอ่านเช่นกัน ดังนั้นเราควรศึกษาข้อมูล เพื่อหาเวลาที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าแต่ละประเภทให้ได้มากที่สุด

เช่น กลุ่มนักเรียนนักศึกษา อาจเปิดอ่านมากตอนเที่ยงถึงบ่าย หรือช่วงสองทุ่มขึ้นไป, กลุ่มวัยทำงานออฟฟิศ อาจอ่านเยอะตอนพักเที่ยง หรือหลังเลิกงานหกโมงเย็น เป็นต้น

การส่งข้อความไปตรงกับช่วงเวลาที่กลุ่มนั้นใช้งาน Messenger อยู่พอดี จะมีโอกาสเห็นและเปิดอ่านมากกว่าการส่งเวลากลางดึกหรือตอนเช้ามืด

เราสามารถใช้ฟีเจอร์ตั้งเวลาอัตโนมัติบนเครื่องมือบรอดแคสต์ต่างๆ ในการส่งข้อความหาลูกค้าแต่ละกลุ่มให้ถูกเวลามากที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าข้อความจะไปถึง

อย่างเหมาะสมและทันท่วงที

9. ใช้ภาพเคลื่อนไหว GIF เพิ่มความน่าสนใจ

ในยุคที่คอนเทนต์ภาพเคลื่อนไหวเป็นที่นิยมและมีอัตราการมีส่วนร่วมสูง การใส่ GIF เข้าไปในบรอดแคสต์ก็ช่วยดึงความสนใจได้เป็นอย่างดี

เราอาจใช้ GIF ที่ตลกขำขัน, มุมน่ารัก, หรือแค่เป็นรูปเคลื่อนไหวที่ตัดตาดี ประกอบกับข้อความเนื้อหาในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนทักทาย, ส่วนโปรโมทสินค้า หรือแม้กระทั่งส่วนลงท้ายที่มักจะเป็นข้อความทิ้งท้ายจำเจ

การใช้ GIF จะช่วยเพิ่มสีสันให้กับข้อความบรอดแคสต์ ทำให้รู้สึกสนุกและอยากอ่านมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้อัตราการคลิกและตอบกลับสูงขึ้นไปด้วย

10. ปิดท้ายข้อความด้วย CTA ชัดเจน

สิ่งสุดท้ายที่ต้องมี คือการปิดท้ายข้อความด้วย Call-to-Action ที่ชัดเจน บ่งบอกให้ลูกค้ารู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป ไม่ว่าจะเป็นคลิกลิงก์, ตอบกลับข้อความ หรือแชร์ต่อ ฯลฯ

ข้อความ CTA สุดท้ายควรสั้น กระชับ ใช้คำที่เข้าใจง่าย และบอกประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้จากการทำตาม เช่น "คลิกเลย เพื่อรับส่วนลด 100 บาท", "ตอบกลับด่วน เพื่อจองสิทธิ์ลองใช้ฟรี" เป็นต้น

CTA ที่ชัดเจนจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจครั้งสุดท้าย และช่วยเพิ่มยอดคอนเวอร์ชันจากผู้อ่านข้อความบรอดแคสต์ ให้กลายมาเป็นลูกค้าหรือลูกค้าซื้อซ้ำในอนาคตได้นั่นเอง

สรุป

การบรอดแคสต์ Facebook Messenger อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่แค่การส่งข้อความธรรมดาๆ แต่ต้องอาศัยความเข้าใจหลักการทำการตลาดผ่านแชทบอทที่ถูกต้อง

ทั้งการเลือกเนื้อหาให้โดนใจ การเรียกร้องความสนใจด้วยองค์ประกอบต่างๆ ไปจนถึงการวัดผล ปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ

10 เทคนิคที่แนะนำไปนั้น ถ้านำไปใช้จริงก็จะสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึง, สร้างความผูกพัน และขายผ่าน Messenger ได้ดีขึ้นหลายเท่าตัวแน่นอน และจะเป็นอีกช่องทางการตลาดที่ขาดไม่ได้สำหรับธุรกิจออนไลน์ที่อยากเติบโตอย่างยั่งยืนในโลกปัจจุบันนี้